วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
     เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ต่อพวงเยอะๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ ดีวีดีไดรฟ์ก็ควรเลือกพาวเวอร์ซัพพลายที่มีจำนวนวัตต์สูง เพื่อให้สามารถ จ่ายกระแสไฟได้เพียงพอ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
Power Supply
เคส (Case)

     เคส คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อ และขนาด ของเคสจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแบบที่นิยมกัน แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกซื้อตามความเหมาะสม ของงาน และสถานที่นั้น

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
เคส (case)

ส่วนรับข้อมูล (Input Unit)
    ส่วนรับข้อมูล (Input Unit) เป็น ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากคน และส่งต่อข้อมูลไปยัง หน่วยประมวลผล(Process Unit) เพื่อทำการประมวลผลต่อไป รูปแบบการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์รับข้อมูลจะอยู่ในรูปของการส่งสัญญาณเป็นรหัสดิจิตอล (หรือเป็นเลข 0 กับ 1) นั่นเองอุปกรณ์ส่วนรับข้อมูล ได้แก่

    - คีย์บอร์ด (keyboard)
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์


    - เมาส์ (mouse)
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์


    - สแกนเนอร์ (scanner)
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์


    - อุปกรณ์สแกนลายนิ้วมือ (finger scan)

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์


    - ไมโครโฟน(microphone)

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์


    - กล้องเว็บแคม (webcam)

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

    อุปกรณ์ใน ส่วนรับข้อมูล ยังมีอีกมากมายและสามารถจะยังมีเพิ่มตามขึ้นไปเรื่อยๆ ตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
หน่วยความจำ (Memory Unit)
    หน่วยความจำ (Memory Unit) อุปกรณ์เก็บสถานะข้อมูลและชุดคำสั่ง เพื่อการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หน่วยความจำชั่วคราวและหน่วยความจำถาวร


    - หน่วยความจำชั่วคราว คือ แรม (RAM: Random Access Memory)เป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน ข้อมูลและชุดคำสั่งจะหายไปทุกครั้งที่เราปิดเครื่อง

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
RAM


    - หน่วยความจำถาวรหรือ หน่วยความจำหลัก ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ Hard Disk ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจำถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง

ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
Harddisk
คีย์บอร์ด (Keyboard)
     เป็นอุปกรณ์ในการรับข้อมูลที่สำคัญที่สุด มีลักษณะคล้ายแป้นพิมพ์ ของเครื่องพิมพ์ดีด มีจำนวนแป้น 84 - 105 แป้น ขึ้นอยู่กับแป้นที่เป็น กลุ่มตัวเลข (Numeric keypad) กลุ่มฟังก์ชัน (Function keys) กลุ่มแป้นพิเศษ (Special-purpose keys) กลุ่มแป้นตัวอักษร (Typewriter keys) หรือกลุ่มแป้นควบคุมอื่น ๆ (Control keys) ซึ่งการสั่งงานคอมพิวเตอร์และการทำงานหลายๆ อย่างจำเป็นต้องใช้แป้นพิมพ์เป็นหลัก
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
Keyboard

เมนบอร์ด (Main board)
     แผ่นวงจรไฟฟ้าแผ่นใหญ่ที่รวมเอาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญๆมาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุม การทำงานของ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในพีชีทั้งหมด มีลักษณะเป็นแผ่น รูปร่างสี่เหลี่ยมแผ่นที่ใหญ่ที่สุดในพีชี ที่จะรวบรวมเอาชิปและไอชี (IC = Integrated Circuit) รวมทั้ง การ์ดต่อพ่วงอื่นๆ เอาไว้ด้วยกันบนบอร์ดเพียงอันเดียวเครื่องพีชีทุกเครื่องไม่สามารถทำงาน ได้ถ้าขาดเมนบอร์ด
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
Mainboard

ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)
     เป็นอุปกรณ์ที่กำเนิดมาก่อนยุคของพีซีเสียอีก โดยเริ่มจากที่มีขนาด 8 นิ้ว กลายมาเป็น 5.25 นิ้ว จนมาถึงปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3.5 นิ้ว ในส่วนของความจุเริ่มต้นตั้งแต่ไม่กี่ร้อยกิโลไบต์มาเป็น 1.44 เมกะไบต์ และ 2.88 เมกะไบต์ ตามลำดับ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
Floppy Disk Drive


     ในปัจจุบันการใช้งานฟล็อปปี้ดิสก์นั้นน้อยลงไปมากเพราะ เนื่องจากจุข้อมูลได้น้อยซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่ฟล็อปปี้ดิสก์ก็ยังคงเป็นมาตรฐานหนึ่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมี การพัฒนาฟล็อปปี้ดิสก์ก็ไม่ได้หยุดยั้งไปเสียทีเดียว ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ระบบ Optical ทำให้สามารถขยายความจุไปได้ถึง 120 เมกะไบต์ต่อแผ่น
 แรม (RAM)

     RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำหลักแต่ไม่ถาวร ซึ่งจะต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดในการทำงาน โดยถ้าเกิดไฟฟ้ากระพริบหรือดับ ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำจะหายไปทันที
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
SDRAM

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
DDR-RAM

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
RDRAM


     โดยหลักการทำงานคร่าวๆ ของแรมนั้นเริ่มต้นที่รับข้อมูลจากผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์ Input จากนั้นก็จะส่งข้อมูลไปยัง CPU ในการประมวลผล เมื่อ CPU ประมวลผลเสร็จแล้ว แรมจะรับข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลแล้ว ออกไปยังอุปกรณ์ Output ต่อไป โดยหน่วยความจำแรมที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น SDRAM, DDR-RAM, RDRAM
 การ์ดแสดงผล (Display Card)

     การ์ดแสดงผลใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู โดยที่การ์ดบางรุ่นสามารถประมวลผลได้ในตัวการ์ด ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการประมวลผลให้ซีพียู จึงทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นเร็วขึ้นด้วย ซึ่งตัวการ์ดแสดงผลนั้นจะมีหน่วยความจำในตัวของมันเอง ถ้าตัวการ์ดมีหน่วยความจำมาก ก็จะรับข้อมูลจากซีพียูได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีความเร็วสูงขึ้นด้วย

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
Display Card

     หลักกันทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ ซีพียูเมื่อซีพียูประมวลผล เสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้น การ์ดแสดงผล ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจร ในการเร่งความเร็วการแสดงผลภาพสามมิติ และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร

จอภาพ

 จอภาพ (Monitor)

    เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะจะติดต่อโดยตรงกับผู้ใช้ ชนิดของจอภาพที่ใช้ในเครื่องพีซีโดยทั่วไปจะแบ่งได้เป็น 2 ชนิด

    - จอซีอาร์ที (CRT : Cathode Ray Tube)  โดยมากจะพบในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ   ซึ่งลักษณะ จอภาพชนิดนี้จะคล้ายโทรทัศน์ ซึ่งจะใช้หลอดสุญญากาศ 

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
จอแบบ CRT

    การทำงานของจอประเภทนี้จะทำงานโดย อาศัยหลอดภาพ ที่สร้างภาพโดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ที่มีสารพวกสารประกอบของฟอสฟอรัส ฉาบอยู่ที่ผิว ซึ่งจะเกิดภาพขึ้นมาเมื่อสารเหล่านี้เกิดการเรืองแสงขึ้นมา เมื่อมีอิเล็กตรอนมากระทบ ซึ่งในส่วยของจอแบบ Shadow Mask นั้น จะมีการนำโลหะที่มีรูเล็กๆ มาใช้ในการกำหนดให้แสงอิเล็กตรอนนั้นยิงมาได้ถูกต้อง และแม่นยำ ซึ่งระยะห่างระหว่างรูนี้เราเรียกกันว่า Dot Pitch ซึ่งในรูนี้จะมีสารประกอบของฟอสฟอรัสวางเรียงกันอยู่เป็น 3 จุด 3 มุม โดยแต่ละจุดจะเป็นสีของแม่สีนั้นก็คือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งแต่ละจุดนี้เราเรียกว่า Triad ในส่วนของจอแบบ Trinitron นั้นจะมีการทำงานที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ ไม่ได้ใช้โลหะเป็นรูแต่จะใช้ โลหะที่เป็นเส้นเล็กๆ ขึงพาดไปตาม แนวตั้ง เพื่อที่จะให้อิเล็คตรอนนั้นตกกระทบกับผิวจอที่มีสารประกอบของฟอสฟอรัสได้มากขึ้น สำหรับจอ Trinitron

    ในปัจจุบันนี่ได้มีการพัฒนาให้มีความแบนราบมากขึ้นซึ่งจอแบบนี้จะเรียกกันว่า FD Trinitron (Flat Display Trinitron) ซึ่งมีมากมายในปัจจุบันและจะเข้ามาแทนที่จะแบบเดิมๆ อีกทั้งราคายังถูกลงเป็นอย่างมากด้วย


    - จอแอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display) ซึ่งมี ลักษณะแบนราบ  จะมี ขนาดเล็กและบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีแอลที 

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์
จอแบบ LCD

    การทำงานนั้นจะไม่เหมือนกับจอแบบ CRT แม้สักนิดเดียว ซึ่งการแสดงภาพนั้นจะซับซ้อนกว่ามาก การทำงานนั้นอาศัยหลักของการใช้ความร้อนที่ได้จากขดลวด มาทำการเปลี่ยนและ บังคับให้ผลึกเหลวแสดงสีต่างๆ ออกมาตามที่ต้องการซึ่งการแสดงสีนั้นจะเป็นไปตามที่กำหนด ไว้ตามมาตรฐานของแต่ละ บริษัท จึงทำให้จอแบบ LCD มีขนาดที่บางกว่าจอ CRT อยู่มาก อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า จึงทำให้ผู้ผลิตนำไปใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่โน้ตบุ๊ค และเดสโน้ต ซึ่งทำให้เครื่องมีขนาดที่บางและเล็กสามารถพกพาไปได้สะดวก ในส่วนของการใช้งานกับเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ก็มีซึ่งจอแบบ LCD นี้จะมีราคาที่แพงกว่าจอทั่วไปอยู่ประมาณ 2 เท่าของ ราคาในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คีย์บอร์ด

เป็นอุปกรณ์รับเข้าพื้นฐานที่ต้องมีในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะรับข้อมูลจากการกดแป้นแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัสเพื่อส่งต่อไปให้กับคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่ใช้ในการป้อนข้อมูลจะมีจำนวนตั้งแต่ 50 แป้นขึ้นไป แผงแป้นอักขระส่วนใหญ่มีแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก เพื่อทำให้การป้อนข้อมูลตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น
การวางตำแหน่งแป้นอักขระ จะเป็นไปตามมาตรฐานของระบบพิมพ์สัมผัสของเครื่องพิมพ์ดีด ที่มีการใช้แป้นยกแคร่ (shift) เพื่อทำให้สามารถใช้พิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ซึ่งระบบรับรหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้ในทางคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต กล่าวคือ เมื่อมีการกดแป้นพิมพ์ แผงแป้นอักขระจะส่งรหัสขนาด 7 หรือ 8 บิต นี้เข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ 
เมื่อนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานพิมพ์ภาษาไทยจึงต้องมีการดัดแปลงแผงแป้นอักขระให้สามารถใช้งานได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย กลุ่มแป้นที่ใช้พิมพ์ตัวอักษรภาษาไทยจะเป็นกลุ่มแป้นเดียวกับภาษาอังกฤษ แต่จะใช้แป้นพิเศษแป้นหนึ่งทำหน้าที่สลับเปลี่ยนการพิมพ์ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์อีกชั้นหนึ่ง 
แผงแป้นอักขระสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ตระกูลไอบีเอ็มที่ผลิตออามารุ่นแรก ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 จะเป็นแป้นรวมทั้งหมด 83 แป้น ซึ่งเรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอ็กซ์ที ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 บริษัทไอบีเอ็มได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระ กำหนดสัญญาณทางไฟฟ้าของแป้นขึ้นใหม่ จัดตำแหน่งและขนาดแป้นให้เหมาะสมดียิ่งขึ้น โดยมีจำนวนแป้นรวม 84 แป้น เรียกว่า แผงแป้นอักขระพีซีเอที และในเวลาต่อมาก็ได้ปรับปรุงแผงแป้นอักขระขึ้นพร้อม ๆ กับการออกเครื่องรุ่น PS/2 โดยใช้สัญญาณทางไฟฟ้า เช่นเดียวกับแผงแป้นอักขระรุ่นเอทีเดิม และเพิ่มจำนวนแป้นอีก 17 แป้น รวมเป็น 101 แป้น 
การเลือกซื้อแผงแป้นอักขระควรพิจารณารุ่นใหม่ที่เป็นมาตรฐานและสามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ 
สำหรับเครื่องขนาดกระเป๋าหิ้วไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อปหรือโน้ตบุ๊ค ขนาดของแผงแป้นอักขระยังไม่มีการกำหนดมาตรฐาน เพราะผู้ผลิตต้องการพัฒนาให้เครื่องมีขนาดเล็กลงโดยลดจำนวนแป้นลง แล้วใช้แป้นหลายแป้นพร้อมกันเพื่อทำงานได้เหมือนแป้นเดียว

RAM (Random Access Memory)

คือหน่วยความจำที่มีการเข้าถึงได้ โดยไม่ต้องใส่ลำดับ (Sequential Access) ต้องการข้อมูล ที่ตำแหน่งใดก็ได้ โดยส่ง Address (ตัวเลขระบุตำแหน่ง) ให้กับ RAM Memory Chip ที่ใช้กันในเครื่องพีซีแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
                1.SRAM(Static RAM)
                2.DRAM(Dynamic RAM)
คุณสมบัติที่แตกต่างกัน ระหว่าง SRAM กับ DRAM คือ SRAM มีราคาสูงกว่า เนื่องจาก SRAM มี ความเร็วสูงกว่า DRAM
การใช้งาน RAM นั้น ต้องมีไฟเลี้ยงตลอดเวลา และนอกจากไฟเลี้ยงแล้ว DRAM ยังต้องการ การ Refresh ข้อมูลเป็นระยะๆ เสมือนการเตือนความทรงจำ ซึ่ง ผิดกับ SRAM ที่ไม่ต้องมีการ Refresh เนื่องจาก DRAM ซึ่งทำมาจาก MOSใช้หลักการ ของตัวเก็บประจุ มาเก็บข้อมูล เมื่อเวลาผ่านไป ประจุจะค่อยๆรั่วออก ทำให้ต้องมีการ Refresh ประจุตลอดเวลาการใช้งาน ส่วน SRAM ซึ่งทำมาจาก Flip-Flop นั้น ไม่จำเป็นต้องมีการ Refresh แต่ SRAM จะกินไฟมากกว่า DRAM อันเนื่องจากการใช้ Flip-Flop นั่นเอง
ความเร็วของ RAM คิดกันอย่างไร
ที่ตัว Memorychip จะมี เลขรหัส เช่น HM411000-70 ตัวเลขหลัง (-) คือ ตัวเลขที่บอก ความเร็วของ RAM ตัวเลขนี้ เรียกว่า Accesstime คือ เวลาที่เสียไป ในการที่จะเข้าถึงข้อมูล หรือ เวลาที่แสดงว่า ข้อมูลจะถูก ส่งออกไปทาง Data busได้เร็วแค่ไหน ยิ่ง Access time น้อยๆ แสดงว่า RAM ตัวนั้น เร็วมาก
ตารางค่า Access time บน Chip
Access time(ns) 
ตัวเลขที่พบบน Memory chip
250 
25
200
20
150
15 
120
12
100
10
85 
85
80 
8,80
70
7,70
65
65
60
6,60
53
53
ความเร็วของ RAM เรียกว่า Cycle time ซึ่งมีหน่วยเป็น ns โดย Cycle time เท่ากับ Read/Write cycle time (เวลาที่ในการส่งสัญญาณติดต่อ ว่าจะอ่าน/เขียน RAM) รวมกับ Access time และ Refresh time
โดยทั่วไป RAM จะต้องทำการตอบสนอง CPU ได้ในเวลา 2 clock cycle หรือ 2 คาบ หาก RAM ตอบสนองไม่ทัน RAM จะส่งสัญญาณ /WAIT บอก CPU ให้ คอย คือ การที่ CPU เพิ่ม clock cycle ซึ่งช่วงเวลานี้เรียกว่า WAIT STATE
วิธีที่ใช้ในการแก้ไข WAIT STATE
    1. เทคนิค INTERLEAVE
                เทคนิคนี้เป็นการลดปัญหาเรื่อง Refresh time เพราะในการทำงานของ RAM จะเห็นว่าใน การติดต่อกับ Memory 1 address จะใช้เวลา 1 cycle time ในการที่ CPU ติดต่อ กับ Memory ในแต่ละครั้ง จะติดต่อเป็น block คือ หลาย Address เรียงต่อกัน จากความจริง ข้อนี้ เทคนิคการ Interleave จึงเกิดขึ้น โดยหลักการที่จะทำให้ Cycle time เหลื่อมกันเกิดจน Cycle time ใหม่ที่แคบลง
                การสลับ Bank ของ Memory โดย Bank บล็อกหนึ่งจะมี Memory address เป็นเลขคี่ อีก Bank จะเป็นเลขคู่ เวลา CPU ติดต่อสลับไปสลับมาใน 2 Bank เพราะฉะนั้นต้องใส่ Memory ให้เต็ม Bank เป็นจำนวนคู่ เช่น 2 Bank หรือ 4 Bank ถ้า Memory ขนาดเท่ากัน คนที่ใส่ Memory ทั้งหมดไว้ใน Bank เดียว จะทำงานได้ช้ากว่า คนที่แบ่ง Memory ใส่เป็น 2 Bank แต่ Bank ก็จะ เหลือน้อยด้วย
    2. วิธีการ Page Mode
                วิธีการนี้จะต้องใช้ RAM พิเศษ คือ Paged RAM โดย Memory จะถูกมองว่า แบ่ง เป็นกลุ่ม หรือ Page หลาย Page ในการติดต่อกับ Memory ที่ Address อยู่ใน Page เดียวกัน ต่อๆ ไป โดยไม่ต้องมี Wait State แต่ถ้ามีการติดต่อกับ Page อื่น จะมี Wait State เหมือนเดิม
    3. Cache Memory Memory
                ส่วนนี้จะถูกรวมกับ CPU ซึ่งก็คือ Internal Cache แต่ถ้าเอามาติดบนเมนบอร์ด จะเรียกว่า External Cache ก็คือ RAM นั่นเอง แต่ความเร็วจะสูงมาก ทำให้ไม่มีภาวะ Wait State วิธีการก็คือ พยายามให้ CPU ติดต่อกับ Cache ซึ่งเป็น SRAM ความเร็วสูงก่อน เพราะ ไม่มีภาวะ WaitState โดยจะมีวงจร Cache controller ซึ่งเป็น ตัวจัดการ Cache โดยมันจะตัด บล็อกข้อมูลจาก main memory ประมาณบล็อกละ 2-4 KB มาใส่ไว้ใน Cache พอ CPU ติดต่อ Memory ก็จะมาดูใน Cache ก่อนว่ามีข้อมูลที่ต้องการหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จะไปเอาจาก Main memory ความสำคัญของ Cache คือ การตัดบล็อกมาให้ถูกตามความต้องการของ CPU โดย Cache controller จะใช้วิธีการ Random แต่ Random อย่างมีหลักการ คือ CPU มักต้องการ ข้อมูลที่ต่อเนื่องกัน เพราะฉะนั้น Cache จะตัดข้อมูลบล็อกถัดไปมาเก็บไว้ การ Random แบบนี้ให้ความแม่นยำถึง 80% ทีเดียว คือ ไม่มีภาวะ Wait State เป็นเวลา 80% ของเวลาที่ใช้ ทำงานทั้งหมด
การ Check Parity
        การเช็ค Parity เป็นการ เพิ่มบิตพิเศษเข้าไปอีก 1 บิต ให้กับทุกๆ 8 บิต ของข้อมูล จนกลายเป็น 9 บิต บิตที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่ข้อมูล แต่ใส่เพื่อตรวจสอบว่า ข้อมูลมีความผิดพลาดหรือไม่ โดยใช้หลักการนับขำนวนบิตข้อมูลที่มีค่าเป็น 1 ในทุกๆ 8 บิต การเข็ค Parity นี้แบ่งได้ 2 วิธี คือ Odd Parity (Parity คี่) และ Even Parity (Parityคู่)
        สำหรับวิธี Odd Parity จะทำการนับจำนวนบิตที่เป็น 1 ใน 8 บิตว่ามีจำนวนเป็นคู่ หรือเป็นคี่ โดยมี IC 74LS280 ทำหน้าที่เป็นตัวสร้าง Parity และ เป็นตัวตรวจสอบ ถ้า 74LS280 นับจำนวน 1 ใน 8 บิตได้ เป็นจำนวนคู่ที่ Parity bit จะถูกเซ็ตให้เป็น 1 เพื่อให้จำนวนของ 1 ใน 9 บิต (รวม Parity bit ด้วย) เป็นจำนวนคี่ แต่ถ้านับจำนวนของ 1 ใน 8 บิต ได้เป็นเลขคี่ Parity bit จะถูกเซ็ตให้เป็น 0 เพื่อให้จำนวนของ 1ใน 9 บิต รวมเป็นเลขคี่ ถ้าวิธ ีEven Parity ก็จะทำใน ทางกลับกัน คือพยายามเซ็ต Parity ให้จำนวนของ 1 ใน 9 บิตเป็นจำนวนคู่
        Parity bit จะถูกสร้างตอน เขียนข้อมูลลงใน RAM และจะถูกตรวจสอบ เมื่อมีการ อ่านข้อมูลจาก RAM เช่น ถ้าข้อมูลเป็น 11001010 ด้วยวิธี Odd Parity จะ เซ็ต Parity bit เป็น 1 แต่ถ้าตอนอ่านข้อมูลเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็น 10001010 โดย Odd Parity ยังคงเป็น 1 ก็จะแสดง ว่ามีการผิดพลาดเกิดขึ้น IC 74LS280 จะทำการสร้างสัญญาณไปบอกให้ CPU เกิดการ Halt และแสดงข้อความรายงานทางหน้าจอในแบบต่างๆ เช่น PARITY ERROR SYSTEM HALT
        ข้อเสียของการใช้ Parity bit คือ เสียเวลา และไม่ได้ประโยชน์เท่าไรนัก เพราะไม่ สามารถบอกได้ว่าผิดที่ตำแหน่งไหน และแก้ไขข้อผิดพลาดไม่ได้ บอกได้แค่ว่ามีความผิดพลาด เกิดขึ้นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ถ้าสมมติ ข้อมูลเกิดผิดพลาดทีเดียว 2 บิต เช่น 10001001 เปลี่ยนเป็น 10101011 เราก็ไม่สามารถเช็คข้อผิดพลาดโดยใช้วิธี Parity ได้
        เมื่อรู้การทำงานของ RAM แล้ว เราก็จะมาดู ประเภทของ RAM ที่มีใช้กันอยู่
        1. DIP (Dual In-line Package) เป็นแบบพื้นฐานที่ใช้กัน เพราะ DIP คือ RAM ที่อยู่ในรูปแบบของ IC (Integrate Circuit ) หรือ Memory chip การใช้งาน หรือติดตั้ง RAM ชนิดนี้ทำได้โดยการติดลงบน ซ็อคเก็ตของ DIP เท่าที่เมนบอร์ดเตรียมไว้ให้ นั่นหมายความว่า ยิ่งความต้องการติด DIP มากๆ เมนบอร์ดก็ต้องมีซ็อคเก็ตไว้ให้มากๆ ผลก็คือ ใช้พื้นที่เปลือง และทำให้เมนบอร์ดใหญ่มาก ในการติด DIP ยังต้องระมัดระวังด้วย เพราะ Pin บอบบาง งอง่าย หักง่าย ทั้งยัง เสียเวลาในการติด
         2. SIPP (Single In-line Pin Package) จะลดความยุ่งยากของการติดตั้ง RAM แบบ DIP ลง โดยติดลงบนแผ่น PCB (Printed Circuit Board) ซะก่อน SIPP เป็นแผ่น PCB ที่มี Pin ซึ่งเหมือนขาของ IC แต่ Pin ของ SIPP จะมีเพียงแถวเดียวเรียงไปตามแนวยาวของแผ่น PCB การติดตั้ง SIPP ที่มีลักษณะเป็นรูกลมเรียงหนึ่งเป็นแถวยาวมีจำนวนรูเท่ากับ Pin ของ SIPP พอดี ประหยัดเนื้อที่บนเมนบอร์ด และติดตั้งง่ายกว่า DIP มาก
         3. SIMM (Single In-line Memory Module) รูปร่างหน้าตา จะคล้ายกับ SIPP แต่ต่าง ส่วนที่จะต่อกับ ซ็อคเก็ตบนเมนบอร์ด จาก Pin เป็นแบบ Edge Connector คือเป็น ลายวงจรเรียง กันเป็นซี่ตามขอบของ PCB ในแนวยาว ลักษณะเหมือนกับ ที่เห็นตามการ์ดต่างๆ แต่ในการติดตั้ง SIMM จะไม่ใช้การเสียบลงไปตรงๆ เหมือนการ์ดทั่วไป แต่จะเสียบลงแบบเอียงๆแล้วดันSIMM ไปด้านข้างเพื่อให้ กลไกบนซ็อคเก็ตทำการล็อก SIMM เอาไว้ การใช้ Edge connector ในSIMM ก็เพื่อตัดปัญหาเรื่องหน้าสัมผัสของ Pin กับซ็อคเก็ต
        SIMM ที่ถูกผลิตออกมาจะแบ่งได้เป็นชนิดต่างๆ ตามความกว้างของข้อมูลของ SIMM แต่ละโมดูล คือ ชนิด 8 บิต, 16 บิต, 32 บิต การจัดวางลำดับของ Edge connector จะมีมาตรฐาน กลางที่ใช้กันอยู่
         4. DIMM (Dual In-line Memory Module) เป็น RAM ชนิดใหม่ และถูกกำหนด ให้เป็นมาตรฐานกลางโดย JEDEC (Joint Electron Device Engineering Council) ลักษณะโดย ทั่วไป จะคล้าย SIMM แต่จะมี 168 Pin (ข้างละ 84 pin )

เครื่องแถบแม่เหล็ก (tape drive)

เครื่องแถบแม่เหล็ก (tape drive) เป็นเครื่องที่ใช้อ่านและบันทึกข้อมูลบนแถบแม่เหล็ก มีหลักการทำงานเหมือนเครื่องบันทึกเสียงด้วยแถบแม่เหล็กทั่วไปที่ใช้อยู่ตามบ้าน แต่ได้ออกแบบให้มีความก้าวหน้าทางเทคนิคมากกว่า เช่น มีความเร็วสูงกว่าเครื่องที่ใช้ตามบ้าน คือมีอัตราเร็ว 25-100 นิ้วต่อวินาที เริ่มเดินแถบและหยุดแถบได้เร็วกว่าระหว่างทำงานสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลได้เร็วกวา เป็นต้น


 
เครื่องแถบแม่เหล็กนี้ มีหัวอ่านและหรือหัวบันทึกเช่นเดียวกับในเครื่องบันทึกเสียงที่ใช้อยู่ตามบ้าน สามารถบันทึกเป็นรอยทาง (track) แต่มีจำนวนรอยทางมากกว่า เช่น 7 หรือ 9 รอยทาง และเก็บข้อมูลเป็นจุด ๆ (spots) ไม่เหมือนกับเครื่องบันทึกเสียงที่บันทึกเป็นรูปคลื่น ซึ่งขึ้นอยู่กับเสียงพูดหรือเสียงดนตรี


เครื่องแถบแม่เหล็ก

 
แถบแม่เหล็กทำด้วยพลาสติกฉาบออกไซด์ของโลหะซึ่งเมื่อทำการบันทึกข้อมูล ออกไซด์ของโลหะจะกลายเป็นแม่เหล็กเป็นจุด ๆ ตามรหัสที่ใช้ แถบนี้มีลักษณะคล้ายกับแถบที่ใช้ในเครื่องบันทึกเสียง โดยมีความกว้าง  หรือ 1 นิ้ว และมีความยาว 600 หรือ 1,200 หรือ 2,400 ฟุต ตามความยาวของแถบ 1 นิ้วจะสามารถบันทึกตัวอักษรได้ 556 หรือ 800 หรือ 1,600 ตัวอักษร ดังนั้น แถบหนึ่งม้วนจะบันทึกตัวอักษรได้ประมาณ 4 หรือ 12 หรือ 46 ล้านตัว อัตราการถ่ายทอดข้อมูล มีอัตราความเร็วแตกต่างกันประมาณ 10,000-200,000 ตัวอักษรต่อวินาที สามารถล้างข่าวสารที่บันทึกไว้ออก และทำการอัดใหม่ได้


ม้วนแถบแม่เหล็กความยาวต่าง ๆ เก็บภายในกล่อง

 
ในปัจจุบันได้มีการประดิษฐ์แถบแม่เหล็กนี้ได้เล็กลงเรียกว่า แถบตลับ (cassette tape) ซึ่งเหมือนกับแถบตลับที่ใช้กับเครื่องเล่นแถบตลับทั่วไป


 
ข้อดีของแถบแม่เหล็กคือ มีอัตราการถ่ายทอดข้อมูลเร็วมาก สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้มาก เป็นการง่ายที่จะลบออกและนำไปบันทึกใหม่ มีราคาถูก สามารถใช้เป็นได้ทั้งส่วนรับและส่งผลงาน และสามารถนำไปใช้เป็นส่วนความจำได้อีกด้วย แต่มีข้อจำกัดคือ เมื่อต้องการแก้ไขข้อมูลที่เก็บไว้ จะแก้ไขหรือแทรก (insert) ข้อมูลใหม่ลงไปในระหว่างข้อมูลเดิมที่บันทึกไว้แล้วได้ยาก นอกจากนี้ยังเป็นการสิ้นเปลืองเวลาของคอมพิวเตอร์ในการค้นหาข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งที่ต้องการโดยเฉพาะในม้วนแถบ

แผ่นบันทึก (Floopy Disk)


ลักษณะทั่วไป
        ขนาดโดยทั่วไปของ disks คือ 8 นิ้ว, 5.25 นิ้ว และ 3.5 นิ้ว ตัว disk ถูกทำจาก Mylar และฉาบด้วยสารแม่เหล็ก เมื่อ disk ถูกใส่ใน drive unit ใน spindle clampsที่อยู่ส่วนกลางของช่องว่างจะถูกหมุน ด้วยความเร็วคงที่ อาจจะ 300 หรือ 360 รอบต่อนาที ข้อมูลจะถูกเก็บบน disk ใน circular tracks หัวอ่าน/เขียน จะติดต่อกับ disk ผ่านทาง racetrack-shaped slot เพื่ออ่านหรือเขียนลงไปบน disk
            ในการเขียน กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านไปที่ขดลวดในหัวอ่าน และจะสร้างฟลักซ์แม่เหล็กในแกนเหล็ก ของหัวอ่าน/เขียน ช่องว่างในแกนเหล็กจะยอมให้ฟลักซ์แม่เหล็กไหลผ่านออกมา และทำให้สารแม่เหล็กบน disk เป็นแม่เหล็กขึ้น พื้นที่บน disk ถูกทำให้เป็นแม่เหล็กโดยเป็นอนุภาคที่มีทิศทางและคงสถานะ แม่เหล็กไว้ ั้วของพื้นที่ที่ทำเป็นแม่เหล็กจะพิจารณาโดยใช้ทิศทางการไหลของกระแสผ่านขดลวด ข้อมูลก็สามารถอ่านจาก disk ด้วยหัวอ่าน/เขียนเช่นเดียวกัน โ่ดยเมื่อขั้วของแม่เหล็กเปลี่ยนเพราะ track ผ่านไปบนช่องว่างในหัวอ่าน/เขียน ศักย์ไฟฟ้าเล็ก ๆ เป็น มิลลิโวลต์ จะถูกเหนี่ยวนำในขดลวด amplifier และ comparator ถูกใช้เป็นตัวเปลี่ยนสัญญาณเล็ก ๆ เป็นระดับ logic มาตราฐานร่อง write-protect ในซอง floppy disk สามารถใช้ป้องกันการเก็บข้อมูลจากการเขียนทับเหมือนกับ knock-out plastic บนตลับเทปคลาสเซ็ท LED และ Phototransistor สามารถชี้ว่าร่องนี้มีหรือไม่ และจะเขียนเมื่อพบว่ามีร่องนี้อยู่ index hole ที่เจาะบนแผ่น disk จะชี้จุดเริ่มของ record tracks จะใช้ LED และ Phototransistor ในการตรวจสอบหา index holeรูปแบบการบันทึกบิท (Recorded Bit Formats - FM and MFM)
            บิท 1 แทนด้วยการเปลี่ยนขั้วของแม่เหล็กบน track บิท 0 แทนด้วยการไม่เปลี่ยนขั้วของแม่เหล็ก รูปแบบการบันทึกนี้มักเรียกว่า non-return-to-zero หรือการบันทึกแบบ NRZ เพราะมีสนามแม่เหล็ก บน track เสมออาจมีขั้วเป็นหนึ่งทิศทางหรือหลายทิศทาง หัวอ่านจะสร้างสัญญาณเมื่อพื้นที่ที่มีสนามแม่เหล็กเปลี่ยนผ่านบนหัวอ่าน
            จากรูปแสดงการเก็บบิทบน track ในรูปแบบ single-density รูปแบบนี้มักเรียกว่า การบันทึก frequency modulation, FM, หรือ F2F สังเกตจะมี clock pulse, C ที่จุดเริ่มของแต่ละ bit cell ในรูปแบบนี้ pulse เหล่านี้จะแทนความถี่พื้นฐาน บิท 1 จะถูกเขียนใน bit cell โดยใส่ใน pulse, D ระหว่าง clock pulse บิท 0 จะถูกแทนโดยการไม่มี pulse ระหว่าง clock pulse
            ข้อดีของ การบันทึกแบบ F2F คือ clock pulse และ data bit ถูกใช้เพื่อแทนแต่ละ data bit เพราะว่า bits สามารถเก็บใกล้ ๆ กันบน disk track โดยไม่เชื่อมต่อกัน การเก็บรูปแบบนี้ มีข้อจำกัดในด้านจำนวนของข้อมูลที่สามารถเก็บบน track เพื่อในจำนวนของข้อมูลที่สามารถเก็บบน track มีเป็นสองเท่าเราจะใช้การจัดเก็บแบบ modified frequency modulation หรือ MFM แสดงดังรูปข้างต้น
            หลักเบื้องต้นของรูปแบบนี้คือ ทั้ง clock pulses และ "1" data pulses ถูกใช้เพื่อเก็บ phase-locked loop และอ่าน circuitry synchronized โดย clock pulse จะไม่ถูกนำไปใส่ถ้า data pulse ไม่เกิดขึ้นสม่ำเสมอพอใน data bytes เพื่อเก็บ phase-locked loop clock bits ถูกเก็บที่จุดเริ่มต้นของ bit cell และ data bits ถูกเก็บในส่วนกลางของ bit cell time clock bits จะถูกเก็บลงถ้า data bit ใน cell ก่อนหน้าเป็น 0 และ data bit ใน bit cell ขณะนั้นเป็น 0 ด้วย เพราะว่ารูปแบบนี้มีทุกกรณีเพียง 1 pulse ต่อ bit cell , bit cell สามารถมีความยาวครึ่งหนึ่ง หรือ มากเป็น 2 เท่า ที่สามารถเก็บลงใน track วิธีนี้เป็นการบันทึกแบบ double-density มีใน IBM PC และ microcomputers ธรรมดาอื่น ๆFloppy Disk Controller - the Intel 8272A
            จากการพิจารณาเรื่องก่อนหน้านี้เราสามารถบอกได้ว่า การเขียนข้อมูลไปที่ floppy disk และการอ่านข้อมูลกลับมาต้องการความพร้อมเพียงหลายระดับ ระดับหนึ่งคือมอเตอร์และสัญญาณของหัวอ่าน ระดับอื่น ๆ คือ การเขียนและการอ่านระดับบิทจริง ๆ การทำทุก ๆ สิ่งของความพร้อมเพียงนี้เป็นงานหลัก ดังนั้นเราต้องออกแบบ floppy disk controller เป็นพิเศษ ตัวอย่างในที่นี้ เราใช้ Intel 8272A controller ซึ่งเทียบเท่ากัน NEC uPD765A controller ที่ใช้ใน IBM PC 8272 Signals and Circuit Connectiions
            เริ่มแรกให้มองที่แผนผังของ 8272A ตามรูป สัญญาณตามด้านซ้ายของแผนผัง สาย data bus, RD, WR, A0, RESET, ละ CS เป็นสัญญาณ peripheral interface มาตราฐาน สัญญาณ DRQ, DACK, และ INT ถูกใช้สำหรับ DMA transfer ของข้อมูลระหว่าง controller เมื่อโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ต้องการข้อมูลจาก disk มันจะส่งชุดคำสั่งไปที่ registers ภายใน controller, controller ก็จะทำขบวนการเพื่ออ่านข้อมูลจาก track และ sector บน disk เมื่อ controller อ่าน byte แรกของข้อมูลจาก sector มันจะส่งสัญญาณ DMA request, DRQ ไปที่ DMA controller, DMA controller จะส่งตำแหน่งแรกของการเคลื่อนย้ายไปบน bus และแสดง DACK input ของ 8272 เพื่อบอกว่า DMA transfer ก้าวหน้าแล้ว เมื่อจำนวนของ bytes ที่ระบุใน DMA initialization ถูกเคลื่อนย้าย DMA controller จะแสดง TERMINAL COUNT input ของ 8272 ด้วยเหตุนี้ 8272 จะแสดงสัญญาณ interrupt output, INT สัญญาณ INT สามารถติดต่อไปยัง CPU เพื่อบอกให้ CPU ทราบว่าต้องการชุดของข้อมูลที่ถูกอ่านจาก disk ไปไว้ที่ buffer ในหน่วยความจำสัญญาณต่าง ๆ ในการติดต่อกับ disk drive hardware
            สัญญาณ READY จาก disk drive จะเป็น high ถ้า drive มีไฟฟ้าอยู่และพร้อมที่จะทำงาน ถ้าเราลืมปิดตะปู disk drive สัญญาณ READY ก็จะไม่แสดง
            สัญญาณ WRITE PROTECT/TWO SIDE สัญญาณนี้จะชี้ว่า write protect notch ถูกปิด หรือไม่เมื่อ drive อยู่ในภาวะอ่านหรือเขียน เมื่อ drive ทำขบวนการในภาวะ track-seek สัญญาณนี้ก็จะชี้ว่า drive เป็น two-sided หรือ one-sided
            สัญญาณ INDEX จะเป็นจัวหวะเมื่อ index hole ใน disk ผ่านระหว่าง LED และ Phototran sistor detector
            สัญญาณ FAULT/TRACK 0 ชี้เงื่อนไขของปัญหาที่เกิดขึ้นกับ disk drive ระหว่างทำขบวนการ อ่าน/เขียน ส่วนในระหว่าง ทำขบวนการ track-seek สัญญาณจะแสดงเมื่อ หัวอ่านอยู่เหนือ track 0
            สัญญาณ DRIVE SELECT ,DS0 และ DS1 จาก controller ถูกส่งไปที่ตัวแปลข้อมูลภายนอก ซึ่งใช้สัญญาณนี้สร้างสัญญาณ enable สำหรับ1 ถึง 4 drives
            สัญญาณ MFM จะแสดง high ถ้า controller ถูกโปรแกรมสำหรับ modified frequency moduration และ low ถ้า controller ถูกโปรแกรมสำหรับ standard frequency modulation(FM)
            สัญญาณ RW/SEEK ถูกใช้เพื่อบอก drive ให้ทำขบวนการในภาวะอ่าน/เขียน หรือ ภาวะ track-seek
            สัญญาณ HEAD LOAD จะแสดงโดย controller เพื่อบอก drive hardware ให้นำหัวอ่าน/เขียนไปติดต่อกับ disk เมื่อการเชื่อมต่อไป double-sided drive ,HEAD SELECT จาก controller ถูกใช้กับสัญญาณนี้เพื่อชี้ว่าหัวอ่านทั้งสองควรถูก loaded ระหว่างขบวนการเขียนบน track ด้านในของ disk สัญญาณ LOW CURRENT/DIRECTION
            จะแสดงโดย controller เพราะว่า bit บน track ด้านในจะอยู่ใกล้กันมาก กระแสที่ใช้ในการเขียนต้องถูกลดลงเพื่อป้องกันการเขียนทับกัน เมื่อทำคำสั่ง seek-track สัญญาณนี้ก็จะใช้บอก drive ว่า ก้าวออกนอกขอบของ disk หรือ อยู่ภายในตรงศูนย์กลาง
            จากรูป เราจะมองสัญญาณที่ใช้อ่านและเขียน clock และ data bit บน track ตามรูปจะแสดงสัญญาณไฟฟ้าระหว่างขาและหัวอ่าน/เขียน ในการบันทึกนั้นข้อมูล clock จะถูกเก็บบน track พร้อมกับข้อมูล data เราใช้ clock bits เพื่อบอกเราเมื่ออ่าน data bits , สัญญาณ VcoSYNC จาก controller จะบอกวงจร phase-locked loop ภายนอก เพื่อ synchronize ความถื่ , output จากวงจร phase-locked loop คือ สัญญาณ DATA WINDOW สัญญาณนี้จะถูกส่งไปยัง controller เพื่อบอกว่าจะหา data pulse ที่ไหนใน data stream ที่มาใน READ DATA input External circuitry supplies ที่เป็นพื้นฐานของสัญญาณ WR CLOCK จะใช้ความถี่ 500 kHzสำหรับแบบ FM และ 1 MHz สำหรับแบบ MFM , output ของ 8272 ที่เป็นclock bits และ data bits จะถูกเขียนลง disk โดยขาของ WR DATA ระหว่างขบวนการเขียน 8272 จะแสดงสัญญาณ WR ENABLE เพื่อเปิด วงจรภายนอก ซึ่งส่งข้อมูลให้กับหัวอ่าน/เขียน สัญญาณPRE-SHIFT 0 และ PRE-SHIFT 1 จาก controller จะไปที่วงจรภายนอกซึ่ง shift bits ไปข้างหน้าหรือถอยหลังเมื่อจะมีการเขียน bit ก็จะมีตำแหน่งที่ถูกต้องเมื่ออ่านออกมา